---------------------------------------------------------------------
บริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้มีหลักเกณฑ์การคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เจ้าของข้อมูล และพัฒนาปรับปรุงนโยบาย ระเบียบปฏิบัติของบริษัทให้ต่อเนื่องสืบไป เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจึงขอประกาศนโยบาย ดังนี้
1. คำนิยาม
“บริษัท” หมายถึง บริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด
“บุคคล” ในที่นี้หมายถึง บุคคลธรรมดาที่มีชีวิตอยู่ ไม่รวมถึง “นิติบุคคล” ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย
“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลใดๆที่ระบุไปถึง “เจ้าของข้อมูล” (Data Subject) ได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อาทิ ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ เลขประจำตัวประชาชน เลขหนังสือเดินทาง เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงข้อมูลดังต่อไปนี้ เช่น ข้อมูลสำหรับการติดต่อทางธุรกิจที่ไม่ได้ระบุถึงตัวบุคคล อาทิ ชื่อบริษัท ที่อยู่ของบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคลของบริษัท เช่น info@company.co.th เป็นต้น
“ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว” หมายถึง ข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนบุคคลโดยแท้ของบุคคล แต่มีความละเอียดอ่อนและอาจสุ่มเสี่ยงในการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เช่น เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เป็นต้น
“เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” (Data Subject) หมายถึง บุคคลที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นระบุไปถึง ตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น แต่ไม่ใช่กรณีที่บุคคลมีความเป็นเจ้าของข้อมูล (Ownership) หรือเป็นผู้สร้างหรือเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นเอง โดยเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะหมายถึงบุคคลธรรมดาเท่านั้น และไม่รวมถึง “นิติบุคคล” (Juridical Person) ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย เช่น บริษัท สมาคม มูลนิธิ หรือองค์กรอื่นใด
“การประมวลผล” หมายถึง การดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการใช้ การเปิดเผย หรือการแก้ไขซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดๆ และให้หมายความรวมถึงการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้ในการประกอบกิจการนั้นๆ
2. การเก็บรวบรวม และวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทใช้วิธีการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลด้วยวิธีการที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม โดยจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น ภายใต้วัตถุประสงค์ในการดำเนินงานของบริษัท หรือตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ บริษัทจะแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบก่อนหรือขณะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล และบันทึกเพิ่มเติมไว้เป็นหลักฐาน โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1 วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม
2.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ทำการเก็บรวบรวม
2.3 กรณีที่เจ้าของข้อมูลต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายหรือสัญญา หรือเพื่อเข้าทำสัญญาโดยต้องแจ้งถึงผลกระทบที่เป็นไปได้จากการไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลให้เจ้าของข้อมูลทราบด้วย
2.4 ประเภทของบุคคลหรือหน่วยงานซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมอาจถูกเปิดเผย
2.5 สิทธิของเจ้าของข้อมูล
3. การใช้หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
การใช้หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจะต้องดำเนินการตามความจำเป็น และตรงกับวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูล และจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลจากเจ้าของข้อมูลที่ให้ไว้ก่อนหรือในขณะนั้น เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้ ไม่จำเป็นต้องขอความยินยอม
3.1 เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัยหรือสถิติซึ่งได้จัดให้มีมาตรการปกป้องที่เหมาะสม เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
3.2 เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล
3.3 เพื่อความจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นคู่สัญญาหรือ เพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเข้าทำสัญญานั้น
3.4 เพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุมโดยชอบด้วยกฎหมาย
3.5 เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย หรือในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล
3.6 เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย หรือตามคำสั่งศาล
4. จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย เข้าถึง ใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากอำนาจหรือโดยมิชอบ
5. ดำเนินการทบทวนมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย เมื่อมีความจำเป็นหรือเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม ดำเนินการอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือให้เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประกาศกำหนด
6. จัดให้มีการกำหนดขั้นตอน ระเบียบในกรณีที่ต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ต้องดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้ผู้นั้นใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากอำนาจหรือโดยมิชอบ
7. จัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนด ระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือตามที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ร้องขอ หรือที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ได้ถอนความยินยอม เว้นแต่เก็บรักษาไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การเก็บรักษาไว้เพื่อวัตถุประสงค์ ดังนี้
8. จัดให้ขั้นตอนการแจ้งเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PII data Breach) แก่สำนักงานโดยไม่ชักช้าภายใน72 ชั่วโมงตามมาตรฐานนับแต่ทราบเหตุเท่าที่จะสามารถกระทำได้ เว้นแต่การละเมิดดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ในกรณีที่การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล มีความเสี่ยงสูงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ให้แจ้งเหตุการละเมิดให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบพร้อมกับแนวทางการเยียวยา โดยไม่ชักช้าด้วย หรือการแจ้งดังกล่าวและข้อยกเว้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
9. จัดให้มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Personal Officer) อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อบริหารจัดการและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อาธิเช่น การให้คำแนะนำให้ปฏิบัติตาม การตรวจสอบการดำเนินการของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การประสานงานและให้ความร่วมมือสำนักงาน การรักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคลที่ล่วงรู้ และการรายงานให้ผู้บริการสูงสุดขององค์กรทราบกรณีเกิดปัญหา ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
10. ช่องทางการติดต่อ
บริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด 1768 อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ ชั้น 14 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
หมายเลขโทรศัพท์ : 0 2257 7000 Email : DPO-@thaiid.co.th Website : one.th
ประกาศฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป
ข้อกำหนดการใช้บริการ ONE ID
วัตถุประสงค์ของข้อกำหนดการใช้งานบัญชีระบบยืนยันตัวตนกลาง (ONE ID Account Terms of Use) (ต่อไปนี้เรียกว่า “ข้อกำหนด”) มีไว้เพื่อวางข้อกำหนดและเงื่อนไข สำหรับการใช้บริการทั้งหมดที่เกี่ยวกับบัญชีระบบยืนยันตัวตนกลาง (ONE ID Account) (ต่อไปนี้เรียกว่า “บัญชีกลาง”) ซึ่งให้บริการโดยไทย ไอเด็นติตี้ส์ (THAI IDENTITIES) และบริษัทในเครือ (ต่อไปนี้เรียกรวมกันว่า “บริษัท”)
ลูกค้าจะต้องใช้บัญชีกลางโดยเป็นไปตามข้อกำหนดนี้ และข้อกำหนดและระเบียบการ (Terms and Conditions) นอกจากนี้ ลูกค้าจะต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเมื่อใช้งานบัญชีกลาง
ข้อ 1 การสมัครใช้งาน การยืนยันตัวตน การปฏิเสธการยืนยันตัวตน และการยกเลิกการยืนยันตัวตน
1.1 ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ลูกค้าจะได้รับบัญชี (ต่อไปนี้เรียกว่า “บัญชีกลาง”) เพื่อใช้งานบัญชีกลาง โดยการสมัครขอใช้งานบัญชีกลางผ่านทางวิธีการที่บริษัทกำหนด
1.2 เมื่อลูกค้าได้สมัครใช้งานบัญชีกลางผ่านทางวิธีการที่บริษัทกำหนดและได้รับการอนุมัติจากบริษัทแล้ว บริษัทอาจจะดำเนินการยืนยันบัญชีกลางของลูกค้าดังกล่าว (ต่อไปนี้จะเรียกบัญชีซึ่งได้รับการยืนยันจากบริษัทว่า “บัญชีกลางที่ได้รับการยืนยันแล้ว”)
1.3 ในกรณีที่บริษัทเห็นว่ามีข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้เกิดขึ้นกับลูกค้า บริษัทสามารถปฏิเสธคำขอของลูกค้าดังกล่าวสำหรับบัญชีกลางที่ได้รับการยืนยันแล้ว หรือยกเลิกการยืนยันตัวตนของบัญชีกลางที่ได้รับการยืนยันแล้วของลูกค้าดังกล่าวก็ได้
(1) ในกรณีที่ลูกค้าให้ข้อมูลเท็จแก่บริษัท
(2) ในกรณีที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการตรวจสอบ (ซึ่งบริษัทไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผยมาตรฐานดังกล่าว) ที่บริษัทกำหนดขึ้น
(3) นอกจากนี้ ในกรณีที่บริษัทเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่ลูกค้าจะใช้งานบัญชีกลาง
1.4 บริษัทไม่มีวิธีการหรือนโยบายใดๆ ที่เป็นการขอหรือนำข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลนิติบุคคล เพื่อนำมาสมัครบัญชีบุคคลธรรมดาหรือบัญชีนิติบุคคลให้กับผู้ใช้งาน ฉะนั้นผู้ใช้งานจะต้องทำการสมัครบัญชีกลางด้วยตนเอง
1.5 การยืนยันตัวตน ลูกค้าจะต้องดำเนินการลงทะเบียนให้เสร็จสิ้นตามที่กำหนดไว้ และจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำที่ระบุไว้บนแพลตฟอร์มสำหรับเปิดบัญชีกลาง บริษัทและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีสิทธิรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล (ข้อมูลการแสดงตน) และเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำการพิสูจน์ตัวตนลูกค้า (KYC) การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (CDD) ตามกฎหมายปราบปรามการฟอกเงินและกฎหมายป้องกันและปรามปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพและหากมีการร้องขอโดยบริษัทหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผู้ใช้งานจะต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคล (ข้อมูลการแสดงตน) และยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเท่าที่จำเป็นในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้งานจะต้องรับผิดชอบในความถูกต้องของข้อมูลที่ได้มอบไว้ให้กับบริษัทหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม
1.6 ผู้ใช้งานตกลงและยอมรับว่าเป็นดุลยพินิจฝ่ายเดียวของบริษัทในการอนุมัติบัญชีกลาง และบริษัทอาจปฏิเสธการสร้างบัญชีกลางและการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน
1.7 ผู้ใช้งานตกลงว่าหากท่านให้ข้อมูลใด ๆ ที่ไม่เป็นความจริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่สมบูรณ์ (หรือกลายเป็นไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน หรือไม่สมบูรณ์ในภายหลัง) หากบริษัทหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน ไม่สมบูรณ์ หรือไม่สอดคล้องกับข้อตกลงนี้ บริษัทหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีสิทธิที่จะระงับหรือยุติหรือปิดกั้นการเข้าถึงบัญชีกลางของผู้ใช้งานได้ และผู้ใช้งานจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดจากข้อมูลใด ๆ ที่ไม่เป็นความจริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่สมบูรณ์แต่เพียงผู้เดียว
ข้อ 2 การปรับปรุงข้อกำหนด
บริษัทสามารถปรับปรุงข้อกำหนดนี้และลักษณะของการบริการ และอื่น ๆ ที่ให้บริการโดยบัญชีกลางได้โดยแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงการปรับปรุงดังกล่าวโดยการประกาศหรือการบอกกล่าวตามที่บริษัทเห็นว่าจำเป็นโดยดุลพินิจฝ่ายเดียวของบริษัทหรือตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด ในกรณีที่ลูกค้ายังคงใช้งานบัญชีกล่งต่อไปหลังจากการปรับปรุง ให้ถือว่าลูกค้าดังกล่าวได้ให้ความยินยอมในการปรับปรุงข้อกำหนดนี้และลักษณะการบริการ และอื่น ๆ แล้ว
ข้อ 3 ระยะเวลาการใช้งาน
3.1 ระยะเวลาใช้งานสำหรับบัญชีกลาง จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ลูกค้ามีคำขอใช้งานบัญชีดังกล่าวจนถึงวันที่บัญชีนั้นถูกลบอย่างเสร็จสมบูรณ์ หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ข้อ 4 ค่าบริการ
4.1 บริษัทจะกำหนดลักษณะ ค่าบริการ และวันที่ถึงกำหนดชำระค่าบริการสำหรับแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการ และอื่น ๆ และจะประกาศหรือบอกกล่าวลูกค้าเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โปรดตรวจสอบเรื่องดังกล่าวข้างต้นในเวลาที่สมัครใช้งานแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการ
4.2 บริษัทสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม แผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการโดยแจ้งให้ลูกค้าทราบโดยการประกาศหรือบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
4.3 เมื่อลูกค้าประสงค์จะเปลี่ยนแปลงแผนการบริการจากแบบไม่มีค่าบริการเป็นแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการ ลูกค้าดังกล่าวจะต้องมีคำขอเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่านทางวิธีการที่บริษัทกำหนดขึ้น และลูกค้า จะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ในวันที่บริษัทได้รับคำขอเช่นว่านั้นแล้ว นอกจากนี้ เมื่อลูกค้าประสงค์จะเปลี่ยนแปลงจากแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการแผนหนึ่งเป็นอีกแผนหนึ่ง หรือเป็นแบบไม่มีค่าบริการ ลูกค้าจะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ในเดือนถัดจากวันที่บริษัทได้รับคำขอเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้น
4.4 แม้ว่าลูกค้าจะได้ทำการยกเลิกบัญชีทางการสำหรับแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการภายในเดือนใดแล้วก็ตาม ลูกค้าดังกล่าวยังจะต้องชำระค่าบริการรายเดือนสำหรับเดือนดังกล่าวเต็มจำนวนและค่าบริการดังกล่าวจะไม่ถูกคำนวณเป็นรายวัน นอกจากนี้ แม้ว่าบัญชีทางการจะถูกยกเลิกแล้ว บริษัทจะไม่คืนค่าบริการที่ลูกค้าได้ชำระไว้ล่วงหน้าให้แก่ลูกค้า
4.5 ในเวลาที่ชำระค่าบริการให้แก่บริษัท หากค่าบริการดังกล่าวจะต้องเสียภาษีการบริโภคตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติภาษีธุรกิจว่าด้วยภาษีมูลค่าเพิ่มและที่ไม่ใช่ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value-added and Non-value-added Business Tax Act) รวมถึงกฎหมาย และ/หรือ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายหรือข้อบังคับใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง ลูกค้าจะต้องชำระค่าบริการนั้นพร้อมด้วยจำนวนเงินซึ่งเท่ากับภาษีที่เกี่ยวข้อง
ข้อ 5 บัญชีกลาง
5.1 ลูกค้าจะต้องจัดการรหัสผ่านสำหรับบัญชีกลางด้วยความรับผิดชอบของตนเองอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้ถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ บริษัทจะถือว่าการกระทำใด ๆ และทั้งหลายที่ได้กระทำขึ้นผ่านทางรหัสผ่านที่ได้ลงทะเบียนไว้นั้นเป็นการกระทำของลูกค้า
5.2 บริษัทไม่ต้องรับผิดชอบสำหรับความเสียหายหรือการเสียประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับลูกค้าจากการกระทำที่ได้กระทำผ่านบัญชีกลางไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
5.3 หากลูกค้ามีความประสงค์ บริษัทอาจให้ความช่วยเหลือลูกค้าในการดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีกลางในขอบเขตที่สมเหตุสมผลได้ในบางกรณี ในกรณีดังกล่าว บริษัทสามารถเข้าถึงและดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีกลางในขอบเขตที่จำเป็นสำหรับการให้ความช่วยเหลือก็ได้ นอกจากนี้ บริษัทจะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าหรือผู้ใช้งานบัญชีกลาง (ต่อไปนี้เรียกว่า “ผู้ใช้งาน”) ซึ่งเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น
5.4 ในกรณีที่สัญญาที่เกี่ยวกับการใช้งานบัญชีกลางถูกยกเลิกหรือเสร็จสมบูรณ์ หรือการให้การบริการบัญชีกลางเสร็จสมบูรณ์ บริษัทสามารถลบข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีกลางที่เกี่ยวข้องและเนื้อหาที่มีการเผยแพร่ผ่านทางบัญชีกลาง (หมายถึง ข้อมูลหรือเนื้อหาในรูปแบบที่ลูกค้าอนุญาตให้มีการส่งผ่านหรือเข้าถึงได้โดยผู้ใช้งานผ่านการใช้งานบัญชีกลาง รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ไอคอน ข้อมูลในโปรไฟล์ ข้อความ รูปภาพและภาพเคลื่อนไหวซึ่งส่งโดยลูกค้า ต่อไปนี้จะเรียกรวมกันว่า “เนื้อหา”) โดยดุลพินิจของบริษัท และลูกค้าจะต้องให้ความยินยอมเพื่อการดำเนินการดังกล่าวด้วย
ข้อ 6 หน้าที่ในการรายงานข้อมูล
ในกรณีที่ลูกค้าเปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุล ที่อยู่อีเมล์ ภูมิลำเนา เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลทางการติดต่อสื่อสารอื่น ๆ ซึ่งได้ลงทะเบียนไว้กับบัญชีกลาง ลูกค้าดังกล่าวจะต้องรายงานการเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้นผ่านทางวิธีการที่บริษัทกำหนดไว้โดยทันที และในกรณีที่ได้มีการรายงานข้อมูลดังกล่าวแล้ว บริษัทอาจร้องขอให้ลูกค้าดังกล่าวนำส่งหลักฐานของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและลูกค้าจะต้องปฏิบัติตามคำร้องขอเช่นว่านั้นด้วย
ข้อ 7 ความรับผิดชอบของลูกค้า
7.1 ในกรณีที่บุคคลที่สามได้มีการร้องเรียนหรือเรียกร้อง หรือยื่นฟ้องคดี และอื่น ๆ ต่อบริษัทเนื่องจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้า ลูกค้าจะต้องตอบสนองต่อเรื่องดังกล่าวด้วยค่าใช้จ่ายของตนเองและต้องรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว และลูกค้าจะต้องไม่สร้างความยุ่งยากให้แก่บริษัทเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ลูกค้าจะต้องรับผิดชอบต่อความรับผิดทางกฎหมายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานบัญชีทางการโดยลูกค้า ซึ่งผู้บริหารจัดการ (administrators) และบุคลากรผู้ดำเนินการบัญชีกลางจะต้องรับผิดร่วมกันและแทนกันในเรื่องดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ลูกค้าตกลงว่าบริษัทจะไม่ต้องรับผิดชอบ ในความเสียหายหรือความรับผิดใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่บุคคลที่สามใด ๆ ซึ่งเกิดจากการใช้งานบัญชีกลาง
7.2 หากลูกค้าละเมิดสิทธิใด ๆ หรือก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ แก่บุคคลที่สามโดยการฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือละเมิดข้อกำหนดนี้ นอกเหนือจากข้อ 10.1 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว บริษัทสามารถ (1) จำกัดหรือห้ามผู้บริหารจัดการหรือบุคลากรผู้ดำเนินการบัญชีกลางดังกล่าว มิให้ดำเนินการบัญชีทางการอื่นใดที่มีอยู่อีกต่อไป และ (2) ปฏิเสธการขอใช้บริการบัญชีกลางโดยผู้บริหารจัดการหรือบุคลากรผู้ดำเนินการบัญชีกลางที่จะมีขึ้นใหม่ในอนาคตโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือชี้แจงเหตุผล
7.3 ลูกค้าต้องชดใช้ความเสียหายใด ๆ (รวมถึง ค่าทนายความที่เกิดขึ้น) ต่อบริษัทซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้าโดยทันที
ข้อ 8 การปฏิบัติต่อข้อมูลซึ่งระบุตัวตนของลูกค้า
8.1 บริษัทต้องใช้ข้อมูลซึ่งระบุตัวตนของลูกค้าซึ่งลูกค้าดังกล่าวได้ให้ไว้แก่บริษัทภายในขอบเขตซึ่งสอดคล้องกับคำอธิบายที่ระบุไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวของวันไอดี (One ID Privacy Policy) และการประมวลผลของบัญชีกลาง
8.2 เว้นแต่จะมีกฎหมาย ข้อบังคับ และ/หรือ นโยบายความเป็นส่วนตัวของวันไอดี (One ID Privacy Policy) และเว้นแต่จะได้มีการขอรับความยินยอมของลูกค้าที่เกี่ยวข้องเป็นรายคนแยกจากกัน บริษัทต้องไม่ให้ข้อมูลซึ่งระบุตัวตนของลูกค้าแก่บุคคลที่สามโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกค้าดังกล่าว
8.3 ลูกค้าสามารถร้องขอให้บริษัทเปิดเผย แก้ไข เพิ่มเติม และ/หรือ ลบข้อมูลซึ่งระบุตัวตนซึ่งบริษัทได้รวบรวมไว้จากลูกค้า โดยที่อย่างไรก็ตาม การเปิดเผย การแก้ไข การเพิ่มเติม และ/หรือ การลบข้อมูลนั้นจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดขึ้นต่างหากโดยบริษัท และอาจจะมีค่าใช้จ่ายแยกต่างหากในบางกรณีด้วย ทั้งนี้ โปรดติดต่อ ณ ที่อยู่ของบริษัทดังต่อไปนี้สำหรับคำถามเกี่ยวกับการการเปิดเผย การแก้ไข การเพิ่มเติมและ/หรือการลบหรือการร้องเรียนต่าง ๆ (02-026-2041)
8.4 ลูกค้าตกลงล่วงหน้าว่าข้อมูลทั้งหมดซึ่งได้ลงทะเบียนไว้โดยลูกค้าเกี่ยวกับการบริการภายใต้ข้อบังคับนี้จะถูกลบเมื่อมีการเลิกสัญญา
8.5 ลูกค้าตกลงว่า บริษัทสามารถได้รับข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับการใช้การบริการของลูกค้า (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ข้อมูลเชิงสถิติ เช่น จำนวนผู้ใช้เฉพาะและจำนวนข้อความ) เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินการและปรับปรุงบัญชีและการบริการ
ข้อ 9 การโอนและพันธมิตรทางธุรกิจ
9.1 บริษัทสามารถโอนการให้การบริการบัญชีกลางบางส่วนให้แก่บริษัทในกลุ่มของบริษัทหรือแก่บุคคลที่สามก็ได้
9.2 บริษัทสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีกลางแก่คู่ค้าทางธุรกิจและบุคคลที่สามอื่น ๆ (อย่างไรก็ตาม ไม่รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล) เกี่ยวกับลูกค้าเพื่อจัดให้ซึ่งการทำงานของบัญชีกลางแก่คู่ค้าทางธุรกิจและเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น และอื่น ๆ เป็นต้น ของบุคคลที่สามอื่น ๆ ในการนี้ การเชื่อมโยงของลูกค้ากับบัญชีทางการ และอื่น ๆ อาจถูกแสดงอยู่บนเว็บไซต์ของคู่ค้าทางธุรกิจหรือบุคคลที่สามอื่น ๆ ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทสามารถแสดงตัวชี้แหล่งในอินเทอร์เน็ตของเว็บไซต์ (URL) ซึ่งรวมถึงข้อมูลของลูกค้าไว้ที่หุ้นส่วนทางธุรกิจ เผยแพร่การเชื่อมต่อสู่เว็บไซต์ดังกล่าว เป็นต้น ในหน้าบัญชีกลางของลูกค้านั้นด้วย
ข้อ 10 การระงับ การเปลี่ยนแปลง และการเสร็จสมบูรณ์ของการบริการ
10.1 ในกรณีของข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ บริษัทสามารถระงับการให้บริการบัญชีกลางได้ในบางกรณี ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้ระงับบัญชีทางการเป็นการชั่วคราว บริษัทจะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับการระงับดังกล่าวต่อลูกค้า
(1) ในกรณีของการบำรุงรักษา ตรวจสอบ หรือเรื่องอื่นในทำนองเดียวกัน เกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการให้บริการบัญชีทางการ ซึ่งได้มีขึ้นตามปกติหรือในกรณีฉุกเฉิน
(2) ในกรณีที่มีความล้มเหลว การหยุดทำงาน หรือเรื่องอื่นในทำนองเดียวกัน เกิดขึ้นกับสิ่งอำนวยความสะดวกหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการให้การบริการบัญชีทางการ
(3) ในกรณีที่เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้งานการบริการโทรคมนาคมซึ่งดำเนินการโดยผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคม
(4) ในกรณีที่มีความยุ่งยากในการให้การบริการบัญชีทางการเนื่องจากไฟดับ ไฟไหม้ แผ่นดินไหวการประท้วงของแรงงาน หรือเหตุสุดวิสัยในรูปแบบอื่น
(5) ในกรณีที่มีสาเหตุเกี่ยวกับการดำเนินการหรือสาเหตุทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับบัญชีทางการอย่างสมเหตุสมผล
10.2 บริษัทสามารถเปลี่ยนแปลงหรือสิ้นสุดการดำเนินการบัญชีกลางทั้งหมดหรือบางส่วนได้โดยการประกาศหรือแจ้งให้ลูกค้าทราบในเรื่องดังกล่าว แม้ว่าบริษัทจะได้เปลี่ยนแปลงหรือสิ้นสุดการดำเนินการบัญชีกลางแล้วไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน บริษัทจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ในเรื่องดังกล่าวต่อลูกค้าทั้งสิ้น
ข้อ 11 ความเสียหาย
11.1 ในกรณีที่ลูกค้าได้ละเมิดข้อกำหนดนี้และก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ค่าทนายความที่สมเหตุสมผล) ลูกค้าจะต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายนั้นให้แก่บริษัทโดยทันที
11.2 ในกรณีที่ลูกค้าได้รับการการร้องเรียน การอ้างสิทธิ การร้องขอ การเรียกร้อง การคัดค้าน และอื่น ๆ เป็นต้น (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “การร้องเรียน และอื่น ๆ”) จากบุคคลที่สาม เกี่ยวกับบัญชีกลาง โดยอ้างว่าสิทธิของบุคคลที่สามนั้นถูกละเมิด ลูกค้าดังกล่าวจะต้องดำเนินการและแก้ไขการร้องเรียน และอื่น ๆ นั้นด้วยค่าใช้จ่ายและความรับผิดชอบของตน ทั้งนี้ ลูกค้าต้องรับผิดชอบในความรับผิดทางกฎหมายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้าด้วยตนเอง และลูกค้าตกลงว่าบริษัทจะไม่ต้องรับผิดสำหรับความเสียหายและการรับผิดใด ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้าไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ซึ่งในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการร้องเรียน และอื่น ๆ ลูกค้าจะต้องชดใช้ความเสียหายดังกล่าวทั้งหมดให้แก่บริษัท นอกจากนี้ ในกรณีที่บริษัทดำเนินการหรือแก้ไขการร้องเรียน และอื่น ๆ ดังกล่าวในนามของลูกค้าที่เกี่ยวข้อง ลูกค้าที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับการดำเนินการและการแก้ไขนั้นด้วย
11.3 บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้า โดยที่กรณีดังกล่าวจะไม่บังคับใช้กับความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการจงใจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงโดยบริษัท ในกรณีดังกล่าว บริษัทจะรับผิดชอบในการชดใช้ความเสียหายทั่วไปและความเสียหายโดยตรงที่บริษัทก่อให้เกิดแก่ลูกค้า เป็นจำนวนสูงสุดไม่เกินค่าบริการสำหรับบัญชีทางการที่ได้ชำระแล้วโดยลูกค้านั้นในเดือนที่ความเสียหายนั้นได้มีขึ้น
ข้อ 12 การระงับการใช้และการบอกเลิก
12.1 ในกรณีที่บริษัทเห็นว่าข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้เกิดขึ้นกับลูกค้าหรืออาจจะเกิดขึ้นกับลูกค้า บริษัทสามารถระงับบัญชีกลาง โดยการระงับการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้าเป็นการชั่วคราว หรือบอกเลิกสัญญาต่าง ๆ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “สัญญา”) กับลูกค้าภายใต้ข้อกำหนดนี้ โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบแต่อย่างใด และหากมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ลูกค้าจากการระงับการใช้งานหรือการบอกเลิกสัญญาดังกล่าว บริษัทจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ในเรื่องดังกล่าวแก่ลูกค้านั้น
(1) ในกรณีที่บริษัทได้ทราบถึงการมีอยู่ของเหตุในการปฏิเสธคำขอตามที่ระบุไว้ในข้อ 1.3 หลังจากการเริ่มต้นการใช้งานบัญชีกลาง (ไม่ว่าบัญชีที่เกี่ยวข้องนั้นจะเป็นบัญชีที่ได้รับการยืนยันแล้วหรือไม่ก็ตาม)
(2) ในกรณีที่ลูกค้าได้ใช้บัญชีทางการสำหรับวัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(3) ในกรณีที่บริษัทเชื่อว่ามีการขาดความน่าเชื่อถือของลูกค้า
(5) ในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อลูกค้าได้ด้วยสาเหตุที่ไม่ใช่ความผิดของบริษัท
(6) ในกรณีที่ลูกค้าไม่เข้าสู่บัญชีของตนภายในระยะเวลาหนึ่งที่กำหนดขึ้นโดยบริษัท
(7) นอกเหนือจากกรณีที่ได้ระบุไว้ข้างต้น ในกรณีที่ลูกค้าได้ดำเนินการที่บริษัทเห็นว่าไม่เหมาะสม
ข้อ 13 การรักษาข้อมูลความลับ
ลูกค้าตกลงที่จะดูแลรักษาข้อมูลความลับของคู่สัญญาอีกฝ่ายเพื่อให้เป็นความลับต่อไป จะไม่เปิดเผยข้อมูลความลับหรือยินยอมให้บุคคลอื่นรับทราบ หรือใช้ข้อมูลความลับ โดยจะใช้มาตรฐานการดูแลข้อมูลความลับนั้นเสมือนกับการดูแลรักษาข้อมูลความลับที่สุดของตนเองเป็นอย่างน้อย เว้นแต่ จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท
ข้อ 14 ช่องทางการติดต่อ
หากผู้ใช้บริการมีคำถามเกี่ยวกับข้อกำหนดการใช้บริการ ONE ID หรือมีปัญหา เกี่ยวกับการใช้บริการ ONE ID กรุณาติดต่อบริษัทตามที่อยู่อีเมล : oneid@inet.co.th หรือเบอร์โทรศัพท์ : 02-026-2041
ข้อ 15 การดำเนินการกับบุคคลภายนอก
กรณีที่ผู้ใช้บริการระบบมีความจำเป็นที่จะต้องมีดำเนินการกับบุคคลภายนอก เช่น การยืนยันตัวตนที่จุดยืนยันตัวตน เป็นต้น ผู้ใช้บริการสามารถติดต่อสอบถามผู้ให้บริการได้ตาม ข้อ 14