หรือ
Login with
คุณยังไม่มีบัญชี One Platform ใช่หรือไม่?
ลงทะเบียน One Serviceข้อกำหนดการใช้บริการ ONE ID
วัตถุประสงค์ของข้อกำหนดการใช้งานบัญชีระบบยืนยันตัวตนกลาง (ONE ID Account Terms of Use) (ต่อไปนี้เรียกว่า “ข้อกำหนด”) มีไว้เพื่อวางข้อกำหนดและเงื่อนไข สำหรับการใช้บริการทั้งหมดที่เกี่ยวกับบัญชีระบบยืนยันตัวตนกลาง (ONE ID Account) (ต่อไปนี้เรียกว่า “บัญชีกลาง”) ซึ่งให้บริการโดยไทย ไอเด็นติตี้ส์ (THAI IDENTITIES) และบริษัทในเครือ (ต่อไปนี้เรียกรวมกันว่า “บริษัท”)
ลูกค้าจะต้องใช้บัญชีกลางโดยเป็นไปตามข้อกำหนดนี้ และข้อกำหนดและระเบียบการ (Terms and Conditions) นอกจากนี้ ลูกค้าจะต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเมื่อใช้งานบัญชีกลาง
ข้อ 1 การสมัครใช้งาน การยืนยันตัวตน การปฏิเสธการยืนยันตัวตน และการยกเลิกการยืนยันตัวตน
1.1 ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ลูกค้าจะได้รับบัญชี (ต่อไปนี้เรียกว่า “บัญชีกลาง”) เพื่อใช้งานบัญชีกลาง โดยการสมัครขอใช้งานบัญชีกลางผ่านทางวิธีการที่บริษัทกำหนด
1.2 เมื่อลูกค้าได้สมัครใช้งานบัญชีกลางผ่านทางวิธีการที่บริษัทกำหนดและได้รับการอนุมัติจากบริษัทแล้ว บริษัทอาจจะดำเนินการยืนยันบัญชีกลางของลูกค้าดังกล่าว (ต่อไปนี้จะเรียกบัญชีซึ่งได้รับการยืนยันจากบริษัทว่า “บัญชีกลางที่ได้รับการยืนยันแล้ว”)
1.3 ในกรณีที่บริษัทเห็นว่ามีข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้เกิดขึ้นกับลูกค้า บริษัทสามารถปฏิเสธคำขอของลูกค้าดังกล่าวสำหรับบัญชีกลางที่ได้รับการยืนยันแล้ว หรือยกเลิกการยืนยันตัวตนของบัญชีกลางที่ได้รับการยืนยันแล้วของลูกค้าดังกล่าวก็ได้
(1) ในกรณีที่ลูกค้าให้ข้อมูลเท็จแก่บริษัท
(2) ในกรณีที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการตรวจสอบ (ซึ่งบริษัทไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผยมาตรฐานดังกล่าว) ที่บริษัทกำหนดขึ้น
(3) นอกจากนี้ ในกรณีที่บริษัทเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่ลูกค้าจะใช้งานบัญชีกลาง
1.4 บริษัทไม่มีวิธีการหรือนโยบายใดๆ ที่เป็นการขอหรือนำข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลนิติบุคคล เพื่อนำมาสมัครบัญชีบุคคลธรรมดาหรือบัญชีนิติบุคคลให้กับผู้ใช้งาน ฉะนั้นผู้ใช้งานจะต้องทำการสมัครบัญชีกลางด้วยตนเอง
1.5 การยืนยันตัวตน ลูกค้าจะต้องดำเนินการลงทะเบียนให้เสร็จสิ้นตามที่กำหนดไว้ และจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำที่ระบุไว้บนแพลตฟอร์มสำหรับเปิดบัญชีกลาง บริษัทและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีสิทธิรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล (ข้อมูลการแสดงตน) และเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำการพิสูจน์ตัวตนลูกค้า (KYC) การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (CDD) ตามกฎหมายปราบปรามการฟอกเงินและกฎหมายป้องกันและปรามปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพและหากมีการร้องขอโดยบริษัทหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผู้ใช้งานจะต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคล (ข้อมูลการแสดงตน) และยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเท่าที่จำเป็นในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้งานจะต้องรับผิดชอบในความถูกต้องของข้อมูลที่ได้มอบไว้ให้กับบริษัทหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม
1.6 ผู้ใช้งานตกลงและยอมรับว่าเป็นดุลยพินิจฝ่ายเดียวของบริษัทในการอนุมัติบัญชีกลาง และบริษัทอาจปฏิเสธการสร้างบัญชีกลางและการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน
1.7 ผู้ใช้งานตกลงว่าหากท่านให้ข้อมูลใด ๆ ที่ไม่เป็นความจริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่สมบูรณ์ (หรือกลายเป็นไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน หรือไม่สมบูรณ์ในภายหลัง) หากบริษัทหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน ไม่สมบูรณ์ หรือไม่สอดคล้องกับข้อตกลงนี้ บริษัทหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีสิทธิที่จะระงับหรือยุติหรือปิดกั้นการเข้าถึงบัญชีกลางของผู้ใช้งานได้ และผู้ใช้งานจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดจากข้อมูลใด ๆ ที่ไม่เป็นความจริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่สมบูรณ์แต่เพียงผู้เดียว
ข้อ 2 การปรับปรุงข้อกำหนด
บริษัทสามารถปรับปรุงข้อกำหนดนี้และลักษณะของการบริการ และอื่น ๆ ที่ให้บริการโดยบัญชีกลางได้โดยแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงการปรับปรุงดังกล่าวโดยการประกาศหรือการบอกกล่าวตามที่บริษัทเห็นว่าจำเป็นโดยดุลพินิจฝ่ายเดียวของบริษัทหรือตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด ในกรณีที่ลูกค้ายังคงใช้งานบัญชีกล่งต่อไปหลังจากการปรับปรุง ให้ถือว่าลูกค้าดังกล่าวได้ให้ความยินยอมในการปรับปรุงข้อกำหนดนี้และลักษณะการบริการ และอื่น ๆ แล้ว
ข้อ 3 ระยะเวลาการใช้งาน
3.1 ระยะเวลาใช้งานสำหรับบัญชีกลาง จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ลูกค้ามีคำขอใช้งานบัญชีดังกล่าวจนถึงวันที่บัญชีนั้นถูกลบอย่างเสร็จสมบูรณ์ หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ข้อ 4 ค่าบริการ
4.1 บริษัทจะกำหนดลักษณะ ค่าบริการ และวันที่ถึงกำหนดชำระค่าบริการสำหรับแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการ และอื่น ๆ และจะประกาศหรือบอกกล่าวลูกค้าเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โปรดตรวจสอบเรื่องดังกล่าวข้างต้นในเวลาที่สมัครใช้งานแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการ
4.2 บริษัทสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม แผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการโดยแจ้งให้ลูกค้าทราบโดยการประกาศหรือบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
4.3 เมื่อลูกค้าประสงค์จะเปลี่ยนแปลงแผนการบริการจากแบบไม่มีค่าบริการเป็นแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการ ลูกค้าดังกล่าวจะต้องมีคำขอเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่านทางวิธีการที่บริษัทกำหนดขึ้น และลูกค้า จะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ในวันที่บริษัทได้รับคำขอเช่นว่านั้นแล้ว นอกจากนี้ เมื่อลูกค้าประสงค์จะเปลี่ยนแปลงจากแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการแผนหนึ่งเป็นอีกแผนหนึ่ง หรือเป็นแบบไม่มีค่าบริการ ลูกค้าจะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ในเดือนถัดจากวันที่บริษัทได้รับคำขอเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้น
4.4 แม้ว่าลูกค้าจะได้ทำการยกเลิกบัญชีทางการสำหรับแผนการบริการที่ต้องชำระค่าบริการภายในเดือนใดแล้วก็ตาม ลูกค้าดังกล่าวยังจะต้องชำระค่าบริการรายเดือนสำหรับเดือนดังกล่าวเต็มจำนวนและค่าบริการดังกล่าวจะไม่ถูกคำนวณเป็นรายวัน นอกจากนี้ แม้ว่าบัญชีทางการจะถูกยกเลิกแล้ว บริษัทจะไม่คืนค่าบริการที่ลูกค้าได้ชำระไว้ล่วงหน้าให้แก่ลูกค้า
4.5 ในเวลาที่ชำระค่าบริการให้แก่บริษัท หากค่าบริการดังกล่าวจะต้องเสียภาษีการบริโภคตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติภาษีธุรกิจว่าด้วยภาษีมูลค่าเพิ่มและที่ไม่ใช่ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value-added and Non-value-added Business Tax Act) รวมถึงกฎหมาย และ/หรือ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือกฎหมายหรือข้อบังคับใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง ลูกค้าจะต้องชำระค่าบริการนั้นพร้อมด้วยจำนวนเงินซึ่งเท่ากับภาษีที่เกี่ยวข้อง
ข้อ 5 บัญชีกลาง
5.1 ลูกค้าจะต้องจัดการรหัสผ่านสำหรับบัญชีกลางด้วยความรับผิดชอบของตนเองอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้ถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ บริษัทจะถือว่าการกระทำใด ๆ และทั้งหลายที่ได้กระทำขึ้นผ่านทางรหัสผ่านที่ได้ลงทะเบียนไว้นั้นเป็นการกระทำของลูกค้า
5.2 บริษัทไม่ต้องรับผิดชอบสำหรับความเสียหายหรือการเสียประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับลูกค้าจากการกระทำที่ได้กระทำผ่านบัญชีกลางไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
5.3 หากลูกค้ามีความประสงค์ บริษัทอาจให้ความช่วยเหลือลูกค้าในการดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีกลางในขอบเขตที่สมเหตุสมผลได้ในบางกรณี ในกรณีดังกล่าว บริษัทสามารถเข้าถึงและดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีกลางในขอบเขตที่จำเป็นสำหรับการให้ความช่วยเหลือก็ได้ นอกจากนี้ บริษัทจะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าหรือผู้ใช้งานบัญชีกลาง (ต่อไปนี้เรียกว่า “ผู้ใช้งาน”) ซึ่งเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น
5.4 ในกรณีที่สัญญาที่เกี่ยวกับการใช้งานบัญชีกลางถูกยกเลิกหรือเสร็จสมบูรณ์ หรือการให้การบริการบัญชีกลางเสร็จสมบูรณ์ บริษัทสามารถลบข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีกลางที่เกี่ยวข้องและเนื้อหาที่มีการเผยแพร่ผ่านทางบัญชีกลาง (หมายถึง ข้อมูลหรือเนื้อหาในรูปแบบที่ลูกค้าอนุญาตให้มีการส่งผ่านหรือเข้าถึงได้โดยผู้ใช้งานผ่านการใช้งานบัญชีกลาง รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ไอคอน ข้อมูลในโปรไฟล์ ข้อความ รูปภาพและภาพเคลื่อนไหวซึ่งส่งโดยลูกค้า ต่อไปนี้จะเรียกรวมกันว่า “เนื้อหา”) โดยดุลพินิจของบริษัท และลูกค้าจะต้องให้ความยินยอมเพื่อการดำเนินการดังกล่าวด้วย
ข้อ 6 หน้าที่ในการรายงานข้อมูล
ในกรณีที่ลูกค้าเปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุล ที่อยู่อีเมล์ ภูมิลำเนา เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลทางการติดต่อสื่อสารอื่น ๆ ซึ่งได้ลงทะเบียนไว้กับบัญชีกลาง ลูกค้าดังกล่าวจะต้องรายงานการเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้นผ่านทางวิธีการที่บริษัทกำหนดไว้โดยทันที และในกรณีที่ได้มีการรายงานข้อมูลดังกล่าวแล้ว บริษัทอาจร้องขอให้ลูกค้าดังกล่าวนำส่งหลักฐานของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและลูกค้าจะต้องปฏิบัติตามคำร้องขอเช่นว่านั้นด้วย
ข้อ 7 ความรับผิดชอบของลูกค้า
7.1 ในกรณีที่บุคคลที่สามได้มีการร้องเรียนหรือเรียกร้อง หรือยื่นฟ้องคดี และอื่น ๆ ต่อบริษัทเนื่องจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้า ลูกค้าจะต้องตอบสนองต่อเรื่องดังกล่าวด้วยค่าใช้จ่ายของตนเองและต้องรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว และลูกค้าจะต้องไม่สร้างความยุ่งยากให้แก่บริษัทเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ลูกค้าจะต้องรับผิดชอบต่อความรับผิดทางกฎหมายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานบัญชีทางการโดยลูกค้า ซึ่งผู้บริหารจัดการ (administrators) และบุคลากรผู้ดำเนินการบัญชีกลางจะต้องรับผิดร่วมกันและแทนกันในเรื่องดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ลูกค้าตกลงว่าบริษัทจะไม่ต้องรับผิดชอบ ในความเสียหายหรือความรับผิดใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่บุคคลที่สามใด ๆ ซึ่งเกิดจากการใช้งานบัญชีกลาง
7.2 หากลูกค้าละเมิดสิทธิใด ๆ หรือก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ แก่บุคคลที่สามโดยการฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือละเมิดข้อกำหนดนี้ นอกเหนือจากข้อ 10.1 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว บริษัทสามารถ (1) จำกัดหรือห้ามผู้บริหารจัดการหรือบุคลากรผู้ดำเนินการบัญชีกลางดังกล่าว มิให้ดำเนินการบัญชีทางการอื่นใดที่มีอยู่อีกต่อไป และ (2) ปฏิเสธการขอใช้บริการบัญชีกลางโดยผู้บริหารจัดการหรือบุคลากรผู้ดำเนินการบัญชีกลางที่จะมีขึ้นใหม่ในอนาคตโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือชี้แจงเหตุผล
7.3 ลูกค้าต้องชดใช้ความเสียหายใด ๆ (รวมถึง ค่าทนายความที่เกิดขึ้น) ต่อบริษัทซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้าโดยทันที
ข้อ 8 การปฏิบัติต่อข้อมูลซึ่งระบุตัวตนของลูกค้า
8.1 บริษัทต้องใช้ข้อมูลซึ่งระบุตัวตนของลูกค้าซึ่งลูกค้าดังกล่าวได้ให้ไว้แก่บริษัทภายในขอบเขตซึ่งสอดคล้องกับคำอธิบายที่ระบุไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวของวันไอดี (One ID Privacy Policy) และการประมวลผลของบัญชีกลาง
8.2 เว้นแต่จะมีกฎหมาย ข้อบังคับ และ/หรือ นโยบายความเป็นส่วนตัวของวันไอดี (One ID Privacy Policy) และเว้นแต่จะได้มีการขอรับความยินยอมของลูกค้าที่เกี่ยวข้องเป็นรายคนแยกจากกัน บริษัทต้องไม่ให้ข้อมูลซึ่งระบุตัวตนของลูกค้าแก่บุคคลที่สามโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกค้าดังกล่าว
8.3 ลูกค้าสามารถร้องขอให้บริษัทเปิดเผย แก้ไข เพิ่มเติม และ/หรือ ลบข้อมูลซึ่งระบุตัวตนซึ่งบริษัทได้รวบรวมไว้จากลูกค้า โดยที่อย่างไรก็ตาม การเปิดเผย การแก้ไข การเพิ่มเติม และ/หรือ การลบข้อมูลนั้นจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดขึ้นต่างหากโดยบริษัท และอาจจะมีค่าใช้จ่ายแยกต่างหากในบางกรณีด้วย ทั้งนี้ โปรดติดต่อ ณ ที่อยู่ของบริษัทดังต่อไปนี้สำหรับคำถามเกี่ยวกับการการเปิดเผย การแก้ไข การเพิ่มเติมและ/หรือการลบหรือการร้องเรียนต่าง ๆ (02-026-2041)
8.4 ลูกค้าตกลงล่วงหน้าว่าข้อมูลทั้งหมดซึ่งได้ลงทะเบียนไว้โดยลูกค้าเกี่ยวกับการบริการภายใต้ข้อบังคับนี้จะถูกลบเมื่อมีการเลิกสัญญา
8.5 ลูกค้าตกลงว่า บริษัทสามารถได้รับข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับการใช้การบริการของลูกค้า (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ข้อมูลเชิงสถิติ เช่น จำนวนผู้ใช้เฉพาะและจำนวนข้อความ) เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินการและปรับปรุงบัญชีและการบริการ
ข้อ 9 การโอนและพันธมิตรทางธุรกิจ
9.1 บริษัทสามารถโอนการให้การบริการบัญชีกลางบางส่วนให้แก่บริษัทในกลุ่มของบริษัทหรือแก่บุคคลที่สามก็ได้
9.2 บริษัทสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีกลางแก่คู่ค้าทางธุรกิจและบุคคลที่สามอื่น ๆ (อย่างไรก็ตาม ไม่รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล) เกี่ยวกับลูกค้าเพื่อจัดให้ซึ่งการทำงานของบัญชีกลางแก่คู่ค้าทางธุรกิจและเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น และอื่น ๆ เป็นต้น ของบุคคลที่สามอื่น ๆ ในการนี้ การเชื่อมโยงของลูกค้ากับบัญชีทางการ และอื่น ๆ อาจถูกแสดงอยู่บนเว็บไซต์ของคู่ค้าทางธุรกิจหรือบุคคลที่สามอื่น ๆ ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทสามารถแสดงตัวชี้แหล่งในอินเทอร์เน็ตของเว็บไซต์ (URL) ซึ่งรวมถึงข้อมูลของลูกค้าไว้ที่หุ้นส่วนทางธุรกิจ เผยแพร่การเชื่อมต่อสู่เว็บไซต์ดังกล่าว เป็นต้น ในหน้าบัญชีกลางของลูกค้านั้นด้วย
ข้อ 10 การระงับ การเปลี่ยนแปลง และการเสร็จสมบูรณ์ของการบริการ
10.1 ในกรณีของข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ บริษัทสามารถระงับการให้บริการบัญชีกลางได้ในบางกรณี ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้ระงับบัญชีทางการเป็นการชั่วคราว บริษัทจะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับการระงับดังกล่าวต่อลูกค้า
(1) ในกรณีของการบำรุงรักษา ตรวจสอบ หรือเรื่องอื่นในทำนองเดียวกัน เกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการให้บริการบัญชีทางการ ซึ่งได้มีขึ้นตามปกติหรือในกรณีฉุกเฉิน
(2) ในกรณีที่มีความล้มเหลว การหยุดทำงาน หรือเรื่องอื่นในทำนองเดียวกัน เกิดขึ้นกับสิ่งอำนวยความสะดวกหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการให้การบริการบัญชีทางการ
(3) ในกรณีที่เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้งานการบริการโทรคมนาคมซึ่งดำเนินการโดยผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคม
(4) ในกรณีที่มีความยุ่งยากในการให้การบริการบัญชีทางการเนื่องจากไฟดับ ไฟไหม้ แผ่นดินไหวการประท้วงของแรงงาน หรือเหตุสุดวิสัยในรูปแบบอื่น
(5) ในกรณีที่มีสาเหตุเกี่ยวกับการดำเนินการหรือสาเหตุทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับบัญชีทางการอย่างสมเหตุสมผล
10.2 บริษัทสามารถเปลี่ยนแปลงหรือสิ้นสุดการดำเนินการบัญชีกลางทั้งหมดหรือบางส่วนได้โดยการประกาศหรือแจ้งให้ลูกค้าทราบในเรื่องดังกล่าว แม้ว่าบริษัทจะได้เปลี่ยนแปลงหรือสิ้นสุดการดำเนินการบัญชีกลางแล้วไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน บริษัทจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ในเรื่องดังกล่าวต่อลูกค้าทั้งสิ้น
ข้อ 11 ความเสียหาย
11.1 ในกรณีที่ลูกค้าได้ละเมิดข้อกำหนดนี้และก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ค่าทนายความที่สมเหตุสมผล) ลูกค้าจะต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายนั้นให้แก่บริษัทโดยทันที
11.2 ในกรณีที่ลูกค้าได้รับการการร้องเรียน การอ้างสิทธิ การร้องขอ การเรียกร้อง การคัดค้าน และอื่น ๆ เป็นต้น (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “การร้องเรียน และอื่น ๆ”) จากบุคคลที่สาม เกี่ยวกับบัญชีกลาง โดยอ้างว่าสิทธิของบุคคลที่สามนั้นถูกละเมิด ลูกค้าดังกล่าวจะต้องดำเนินการและแก้ไขการร้องเรียน และอื่น ๆ นั้นด้วยค่าใช้จ่ายและความรับผิดชอบของตน ทั้งนี้ ลูกค้าต้องรับผิดชอบในความรับผิดทางกฎหมายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้าด้วยตนเอง และลูกค้าตกลงว่าบริษัทจะไม่ต้องรับผิดสำหรับความเสียหายและการรับผิดใด ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้าไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ซึ่งในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการร้องเรียน และอื่น ๆ ลูกค้าจะต้องชดใช้ความเสียหายดังกล่าวทั้งหมดให้แก่บริษัท นอกจากนี้ ในกรณีที่บริษัทดำเนินการหรือแก้ไขการร้องเรียน และอื่น ๆ ดังกล่าวในนามของลูกค้าที่เกี่ยวข้อง ลูกค้าที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับการดำเนินการและการแก้ไขนั้นด้วย
11.3 บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าจากการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้า โดยที่กรณีดังกล่าวจะไม่บังคับใช้กับความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการจงใจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงโดยบริษัท ในกรณีดังกล่าว บริษัทจะรับผิดชอบในการชดใช้ความเสียหายทั่วไปและความเสียหายโดยตรงที่บริษัทก่อให้เกิดแก่ลูกค้า เป็นจำนวนสูงสุดไม่เกินค่าบริการสำหรับบัญชีทางการที่ได้ชำระแล้วโดยลูกค้านั้นในเดือนที่ความเสียหายนั้นได้มีขึ้น
ข้อ 12 การระงับการใช้และการบอกเลิก
12.1 ในกรณีที่บริษัทเห็นว่าข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้เกิดขึ้นกับลูกค้าหรืออาจจะเกิดขึ้นกับลูกค้า บริษัทสามารถระงับบัญชีกลาง โดยการระงับการใช้งานบัญชีกลางโดยลูกค้าเป็นการชั่วคราว หรือบอกเลิกสัญญาต่าง ๆ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “สัญญา”) กับลูกค้าภายใต้ข้อกำหนดนี้ โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบแต่อย่างใด และหากมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ลูกค้าจากการระงับการใช้งานหรือการบอกเลิกสัญญาดังกล่าว บริษัทจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ในเรื่องดังกล่าวแก่ลูกค้านั้น
(1) ในกรณีที่บริษัทได้ทราบถึงการมีอยู่ของเหตุในการปฏิเสธคำขอตามที่ระบุไว้ในข้อ 1.3 หลังจากการเริ่มต้นการใช้งานบัญชีกลาง (ไม่ว่าบัญชีที่เกี่ยวข้องนั้นจะเป็นบัญชีที่ได้รับการยืนยันแล้วหรือไม่ก็ตาม)
(2) ในกรณีที่ลูกค้าได้ใช้บัญชีทางการสำหรับวัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(3) ในกรณีที่บริษัทเชื่อว่ามีการขาดความน่าเชื่อถือของลูกค้า
(5) ในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อลูกค้าได้ด้วยสาเหตุที่ไม่ใช่ความผิดของบริษัท
(6) ในกรณีที่ลูกค้าไม่เข้าสู่บัญชีของตนภายในระยะเวลาหนึ่งที่กำหนดขึ้นโดยบริษัท
(7) นอกเหนือจากกรณีที่ได้ระบุไว้ข้างต้น ในกรณีที่ลูกค้าได้ดำเนินการที่บริษัทเห็นว่าไม่เหมาะสม
ข้อ 13 การรักษาข้อมูลความลับ
ลูกค้าตกลงที่จะดูแลรักษาข้อมูลความลับของคู่สัญญาอีกฝ่ายเพื่อให้เป็นความลับต่อไป จะไม่เปิดเผยข้อมูลความลับหรือยินยอมให้บุคคลอื่นรับทราบ หรือใช้ข้อมูลความลับ โดยจะใช้มาตรฐานการดูแลข้อมูลความลับนั้นเสมือนกับการดูแลรักษาข้อมูลความลับที่สุดของตนเองเป็นอย่างน้อย เว้นแต่ จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท
ข้อ 14 ช่องทางการติดต่อ
หากผู้ใช้บริการมีคำถามเกี่ยวกับข้อกำหนดการใช้บริการ ONE ID หรือมีปัญหา เกี่ยวกับการใช้บริการ ONE ID กรุณาติดต่อบริษัทตามที่อยู่อีเมล : oneid@inet.co.th หรือเบอร์โทรศัพท์ : 02-026-2041
ข้อ 15 การดำเนินการกับบุคคลภายนอก
กรณีที่ผู้ใช้บริการระบบมีความจำเป็นที่จะต้องมีดำเนินการกับบุคคลภายนอก เช่น การยืนยันตัวตนที่จุดยืนยันตัวตน เป็นต้น ผู้ใช้บริการสามารถติดต่อสอบถามผู้ให้บริการได้ตาม ข้อ 14
---------------------------------------------------------------------
บริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด บริษัทใหญ่ บริษัทย่อย บริษัทร่วม บริษัทในเครือกิจการและเครือธุรกิจเดียวกัน (“บริษัท”) มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กฎหมายลำดับรอง ประกาศ ระเบียบ แนวทางและ/หรือคำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้ กำหนดหลักเกณฑ์และหลักปฏิบัติในการเก็บรวบรวม ใช้ ประมวลผล และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและการ คุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจึงขอประกาศนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้บังคับ กับลูกค้าและผู้ใช้บริการของบริษัท ดังนี้ และขอให้ลูกค้าและผู้ใช้บริการของบริษัทศึกษารายละเอียดและเงื่อนไข ของนโยบายฉบับนี้โดยละเอียด
1. คำนิยาม
“การประมวลผล” หมายถึง การดำเนินการใด ๆ ซึ่งกระทำต่อข้อมูลส่วนบุคคลหรือชุดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะโดยวิธีการอัตโนมัติหรือไม่ เช่น การเก็บรวบรวม การบันทึก การแก้ไข การจัดระบบโครงสร้างการเก็บ รักษาเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยน การรับ พิจารณา การใช้ การเปิดเผยไม่ว่าโดยการส่งต่อ โอน เผยแพร่ หรือการ กระทำอื่นใดซึ่งทำให้เกิดความพร้อมใช้งาน การจัดวางหรือผสมเข้าด้วยกัน การจำกัด การลบ การทำลาย
“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุไปถึง “เจ้าของข้อมูลส่วน บุคคล (Data Subject)” ได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม รวมถึงข้อมูลทุกประเภทที่สามารถบ่งชี้ตัวตน ซึ่งรวมถึงแต่ ไม่จำกัดเพียง ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ เลขประจำตัวประชาชน เลขหนังสือเดินทาง ข้อมูลออนไลน์ ข้อมูลเอกลักษณ์ทางกายภาพทางจิตใจ ทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือข้อมูลอื่นใดที่สามารถระบุตัวตนได้ เป็นต้น (แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ)
“ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว” หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลประเภทพิเศษ ตามมาตรา 26 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็น ทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดที่มีลักษณะเดียวกันตามที่ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด
“เครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกัน” หมายถึง กิจการที่ผู้ประกอบกิจการที่มีอำนาจควบคุมบริหาร จัดการเหนือกิจการอื่น หรือกิจการที่ถูกควบคุมโดยผู้ประกอบกิจการที่มีอำนาจเหนือกิจการอื่น ในรูปแบบบริษัท ใหญ่ บริษัทย่อย บริษัทร่วม หรือบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกันทางกฎหมาย หรือเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกัน โดยใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาตามมาตรฐานทางบัญชีอันเป็น ที่ยอมรับโดยทั่วไป
“เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject)” หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งสามารถถูกระบุตัวตนได้โดย ข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
“บริษัท” หมายถึง บริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด บริษัทใหญ่ บริษัทย่อย บริษัทร่วม และ/หรือบริษัทใน เครือกิจการและเครือธุรกิจเดียวกัน
“บริษัทย่อย” หมายถึง นิติบุคคลหรือบริษัทที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) นิติบุคคลหรือบริษัทที่บริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด หรือบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) มีอำนาจควบคุมกิจการ
(ข) นิติบุคคลหรือบริษัทที่นิติบุคคลหรือบริษัทตาม (ก) มีอำนาจควบคุมกิจการ
(ค) นิติบุคคลหรือบริษัทที่อยู่ภายใต้อำนาจควบคุมกิจการของบริษัทตาม (ข) ต่อไปเป็นทอด ๆ โดยเริ่ม จากการอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมกิจการของนิติบุคคลหรือบริษัทตาม (ข)
“บริษัทร่วม” หมายถึง นิติบุคคลหรือบริษัทที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) นิติบุคคลหรือบริษัทที่บริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด หรือบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทย่อยถือหุ้นไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมรวมกันตั้งแต่ ร้อยละ 20 แต่ไม่เกินร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด
(ข) นิติบุคคลหรือบริษัทที่บริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด หรือบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทย่อยมีอำนาจในการมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินและการดำเนินงาน แต่ไม่ ถึงระดับที่จะมีอำนาจควบคุมนโยบายดังกล่าว และไม่ถือเป็นบริษัทย่อยหรือกิจการร่วมค้า
“บริษัทใหญ่” หมายถึง นิติบุคคลหรือบริษัทที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) นิติบุคคลหรือบริษัทที่มีอำนาจควบคุมกิจการในบริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด หรือบริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)
(ข) นิติบุคคลหรือบริษัทที่มีอำนาจควบคุมกิจการในนิติบุคคลหรือบริษัทตาม (ก)
(ค) นิติบุคคลหรือบริษัทที่มีอำนาจควบคุมกิจการในบริษัทตาม (ข) ต่อไปเป็นทอด ๆ โดยเริ่มจากการมี อำนาจควบคุมกิจการในบริษัทตาม (ข)
“อำนาจควบคุมกิจการ” หมายถึง การมีความสัมพันธ์ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังนี้
(ก) การถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงในนิติบุคคลหรือบริษัทเกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนสิทธิออกเสียง ทั้งหมดของนิติบุคคลหรือบริษัทนั้น
(ข) การมีอำนาจควบคุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลหรือบริษัทไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อม หรือไม่ว่าเพราะเหตุอื่นใด
(ค) การมีอำนาจควบคุมการแต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการตั้งแต่กึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด ไม่ว่า โดยตรงหรือโดยอ้อม
2. ข้อมูลที่บริษัทเก็บรวบรวม
2.1 ข้อมูลบุคคลทั่วไป
บริษัทจำเป็นต้องเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง
- คำนำหน้าชื่อ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
- ชื่อ นามสกุล ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
- วันเดือนปีเกิด
- ที่อยู่ตามบัตรประชาชน
- เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือเลขที่หนังสือเดินทาง หรือเลขที่เอกสารประจำตัวที่ทางราชการออกให้
- รูปถ่ายคู่บัตรประจำตัวประชาชน
- หมายเลขโทรศัพท์มือถือ
- อีเมลแอดเดรส
- ข้อมูลสำหรับการชำระเงิน ได้แก่ ข้อมูลบัญชีธนาคาร และรูปหน้าสมุดบัญชีธนาคาร
- สถานที่ทำงาน และตำแหน่งงาน
- รหัสพนักงาน หรือรหัสสมาชิก
- ข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ (Log File) เช่น หมายเลขไอพีแอดเดรส (IP Address) ของท่าน และวันที่ และเวลาที่ท่านใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โครงข่าย และ/ หรือบริการอื่นใดของบริษัท
2.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว
บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของท่าน ตามมาตรา 26 ของพระราชบัญญัติ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เช่น เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนา หรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูล พันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดที่มีลักษณะเดียวกัน โดยบริษัทจะเข้าถึง เก็บรวบรวม ใช้ ประมวลผล เปิดเผยหรือควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลด้วยความระมัดระวังตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด บริษัทจะแจ้งข้อมูล รายละเอียดการเก็บรวบรวม ใช้ ประมวลผล และ/หรือเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวต่อท่านก่อน หรือขณะที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลจากท่านภายใต้เงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
2.3 ข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดกฎหมาย
ท่านรับทราบว่า ในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดในทางแพ่งหรือ ทางอาญาหรือกฎหมายอื่นใด บริษัทมีสิทธิเก็บรวบรวมหรือใช้ข้อมูลการกระทำความผิดกฎหมายของท่านได้ โดยบริษัทจะเข้าถึง เก็บรวบรวม เปิดเผย หรือควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลด้วยความระมัดระวังตามขอบเขตที่กฎหมาย กำหนด
2.4 บริษัทเก็บรวบรวม ประมวลผล ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังต่อไปนี้จากบุคคลภายนอก
ท่านรับทราบและยินยอมให้บริษัทเก็บรวบรวม ประมวลผล ใช้ ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง
- ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ อาทิเช่น ข้อมูลที่ท่านเปิดเผยในสื่อสังคมออนไลน์ หรือสื่อสาธารณะ (Facebook, Instagram, Twitter) และข้อมูลสาธารณะที่มีชื่อ อาชีพและข้อมูลติดต่อของท่าน
- ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อ นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน บัญชีผู้ใช้ (Account) สื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook และ LINE รวมถึงอีเมลที่ผูกกับบัญชีผู้ใช้ IP Address ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เพศ อายุ รูปถ่าย อีเมล เลขที่บัญชีธนาคาร เลขที่บัตรเครดิตและบัตรเดบิต หมายเลขโทรศัพท์ ที่บริษัทอาจได้รับ จากสถาบันการเงิน ตัวแทน หรือพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท เป็นต้น
บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า เพื่อป้องกันและรักษาความปลอดภัยของบุคคลทั่วไป และเพื่อปกป้อง ผลประโยชน์ได้เสียของบริษัท บริษัทได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อความปลอดภัยภายในบริเวณบริษัท บริษัทหรือผู้ให้บริการซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่บริษัทจัดหาอาจเก็บรวบรวม ใช้ ประมวลผลข้อมูลจากภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และ/หรือเสียงของท่านและข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านใช้และเข้ามาในบริเวณพื้นที่ของบริษัท
บริษัทอาจบันทึกเสียงบทสนทนาทางโทรศัพท์ เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการ รวมทั้งเพื่อการประชาสัมพันธ์
3. ข้อมูลที่บริษัทประมวลผล
บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทรวบรวมจากท่านโดยตรงหรือเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจาก บุคคลภายนอกตามที่ระบุไว้ในข้อ 2. ในการให้บริการ การปฏิบัติตามสัญญา การปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือเพื่อวัตถุประสงค์ที่ระบุในข้อ 4.
บริษัทใช้ขั้นตอนการตัดสินใจอัตโนมัติที่จะประมวลผลข้อมูลของท่านผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในบางกรณี เช่น บริษัทอาจประเมินข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับการให้บริการหรืออื่น ๆ ท่านอาจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โดยติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทตามรายละเอียดที่กำหนดในข้อ 11.
4. วัตถุประสงค์และเหตุผลทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลของท่าน
บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
- ระบุตัวตน พิสูจน์ตัวตนและยืนยันตัวตนของท่าน
- การลงทะเบียนการติดต่อ การสมัครใช้บริการ และ/หรือการใช้บริการของท่าน
- การซื้อขายสินค้าและ/หรือให้บริการแก่ท่าน
- การเรียกและ/หรือชำระค่าสินค้าและ/หรือค่าบริการ รวมถึงการออกใบแจ้งหนี้ การออก ใบเสร็จรับเงิน การติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ การรับเงินและ/หรือการคืนเงิน เป็นต้น
- การจัดส่งสินค้าและ/หรือบริการ รวมถึงของรางวัล ของที่ระลึก ของสมนาคุณ เป็นต้น - การประเมินความพึงพอใจ
- การประเมินความพึงพอใจ
- การพัฒนาสินค้าและ/หรือบริการ
- การวิจัยและสถิติ
- การเปิดบัญชีผู้ใช้งาน (Account) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โครงข่าย และ/หรือบริการอื่นใดของบริษัท รวมถึง การลงทะเบียนผู้ใช้งาน การพิจารณาคุณสมบัติผู้ใช้งาน การประกาศรายชื่อผู้ใช้งาน การจัดทำทะเบียนผู้ใช้งาน การจัดให้มีสิทธิประโยชน์แก่ผู้ใช้งาน การจัดทำประวัติการใช้และ/หรือได้รับสิทธิประโยชน์ของผู้ใช้งาน และ/หรือการพัฒนาโปรแกรม คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โครงข่าย และ/หรือบริการอื่นใดของบริษัท เป็นต้น
- การจัดส่ง นำเสนอ หรือประชาสัมพันธ์ ข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริการที่ ท่านให้ความสนใจ ผ่านช่องทางการติดต่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทางสื่อสังคมออนไลน์ ทางอีเมล หรือ ทางโทรศัพท์ เป็นต้น
- เพื่อส่งเสริม พัฒนา และปรับปรุงความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างท่านกับบริษัท
- เพื่อพิจารณา ประมวลผล ทดสอบ หรือวิเคราะห์ ความสนใจของท่านเพื่อส่งเสริม พัฒนา และ ปรับปรุงการให้บริการของบริษัทให้ตอบสนองกับความสนใจและความต้องการของท่านอย่างสูงสุด
- เพื่อฝึกอบรม ควบคุม หรือรับประกัน พนักงานและคุณภาพที่อาจเกี่ยวข้องกับการประสานงาน หรือ การติดต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ กับท่าน
- เพื่อจัดการ แก้ปัญหา ซักถาม และวิเคราะห์ ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการให้บริการของบริษัท โดยบริษัทจะใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อความจำเป็นเท่านั้น
- เพื่อจัดการ ตอบคำถาม หรือตอบรับ การติดต่อสื่อสาร การร้องเรียนการใช้บริการ หรือการแสดง ความคิดเห็นจากท่าน
- เพื่อชี้แจง บอกกล่าว หรือแจ้งให้ทราบถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการ ให้บริการของบริษัท
- เพื่อตรวจสอบ ปกป้อง หรือป้องกัน การกระทำใดอันไม่ถูกต้อง การละเมิด การประพฤติผิด หรือการ ฝ่าฝืน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อตกลงและเงื่อนไขในการให้บริการ และเงื่อนไขอื่นใดของบริษัท
- เพื่อส่งเสริม หรือประชาสัมพันธ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมโฆษณาและกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นใด ภายใต้เงื่อนไขของบริษัท
- เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด เช่น การจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับโปรโมชั่นต่าง ๆ การส่งข่าวสาร เกี่ยวกับสินค้าบริการ งานกิจกรรม และ/หรือกิจกรรมส่งเสริมการขายของบริษัท ทางไปรษณีย์ อีเมล และ/หรือทางโทรศัพท์และด้วยวิธีการอื่นใด รวมถึงการดำเนินการด้านการตลาดแบบตรง เพื่อเพิ่ม สิทธิประโยชน์ที่ท่านจะได้รับจากการเป็นลูกค้าของบริษัท ทั้งนี้ ท่านสามารถเลือกที่จะไม่รับการ สื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดจากบริษัทได้
- เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล
- เพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ประกาศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- เพื่อการปฏิบัติตามสัญญาระหว่างบริษัทกับท่าน หรือเพื่อใช้ในการดำเนินตามคำขอใช้บริการของท่าน ก่อนเข้าทำสัญญากับบริษัท
- เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัท หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้ อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่บริษัท
- เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือบุคคลอื่น
- เพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการของบริษัท
- เพื่อการดำเนินการอื่นใดที่ใกล้เคียงหรือมีลักษณะเดียวกันกับบรรดาวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ข้างต้น
อนึ่ง ในกรณีที่บริษัทมีความจำเป็นในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ ในการปฏิบัติตามสัญญาระหว่างบริษัทกับท่าน หรือเพื่อใช้ในการดำเนินตามคำขอใช้บริการของท่านก่อนเข้าทำ สัญญากับบริษัท หากปรากฏว่าท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัท อาจส่งผลกระทบให้บริษัทไม่อาจปฏิบัติตาม สัญญาหรือให้บริการแก่ท่านอย่างถูกต้องครบถ้วนตามที่กำหนดในสัญญาต่อไปได้
บริษัทอาจต้องเก็บรวบรวม ใช้ ประมวลผลและเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวโดยอาศัยฐาน ทางกฎหมาย ซึ่งกำหนดให้บริษัทมีสิทธิดำเนินการได้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงฐานดังต่อไปนี้ หรือโดยได้รับความ ยินยอมจากท่านโดยชัดแจ้ง
- เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล ซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject) ไม่สามารถให้ความยินยอมได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
- เพื่อเป็นการดำเนินกิจกรรมโดยชอบด้วยกฎหมายที่มีการคุ้มครองที่เหมาะสมของมูลนิธิ สมาคม หรือ องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการเมือง ศาสนา ปรัชญา หรือสหภาพแรงงาน ให้แก่สมาชิก ผู้ซึ่งเคยเป็นสมาชิก หรือผู้ซึ่งมาติดต่ออย่างสม่ำเสมอกับมูลนิธิ สมาคม หรือองค์กรที่ไม่ แสวงหากำไรตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลออกภายนอก มูลนิธิ สมาคม หรือองค์กรไม่แสวงหากำไรนั้น
- เป็นข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะด้วยความยินยอมโดยชัดแจ้งของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject)
- เป็นการจำเป็นเพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตาม หรือการใช้สิทธิเรียกร้องตาม กฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
- เป็นการจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เกี่ยวกับ (ก) เวชศาสตร์ป้องกัน หรืออาชีวเวชศาสตร์ การประเมินความสามารถในการทำงานของลูกจ้าง การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ การให้บริการด้านสุขภาพหรือด้านสังคม การรักษาทางการแพทย์ การจัดการด้านสุขภาพ หรือระบบ และการให้บริการด้านสังคมสงเคราะห์ (ข) ประโยชน์สาธารณะด้านการสาธารณสุข (ค) การคุ้มครองแรงงาน การประกันสังคม หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สวัสดิการเกี่ยวกับการ รักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิตามกฎหมาย การคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือการคุ้มครองทางสังคม (ง) การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติ หรือประโยชน์สาธารณะอื่น หรือ (จ) ประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ
ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโดยการติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อบริษัทเก็บ รวบรวม ใช้ ประมวลผลและเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของท่านเมื่อท่านได้ให้ความยินยอม ท่าน อาจเพิกถอนความยินยอมได้ ณ เวลาใด ๆ โดยติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามรายละเอียดที่ กำหนดในข้อ 11. หากท่านเพิกถอนความยินยอม บริษัทยังอาจต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อปฏิบัติตาม กฎหมายหรือเพื่อปกป้องประโยชน์ได้เสียของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทจะอธิบายให้ท่านทราบในเวลาที่มีการเพิกถอน ความยินยอมว่า ข้อมูลใดที่บริษัทยังคงมีหน้าที่ในการเก็บรวบรวมหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อ วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติตามกฎหมาย
นอกจากนี้ บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ เพิ่มเติมที่ สอดคล้องหรือเป็นไปในทำนองเดียวกับวัตถุประสงค์ที่ระบุข้างต้น รวมทั้งวัตถุประสงค์ในการทำการวิจัยทาง ประวัติศาสตร์ สถิติ หรือวิทยาศาสตร์ เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บข้อมูล (archives) เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ใน กรณีที่เป็นไปได้ บริษัทจะไม่ใช้ข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนได้เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น หรือ บริษัทจะ ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจำกัดขอบเขตของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจะใช้ในการทำการวิจัยหรือจัดเก็บข้อมูลสำรอง รวมทั้งบริษัทอาจใช้ข้อมูลนามแฝง (pseudonymous) เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
5. ผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
บริษัทตระหนักถึงความสำคัญในการทำให้มั่นใจถึงการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ บริษัทพยายาม ที่จะจำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บุคคลที่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่มีอยู่ พนักงาน บุคลากรของบริษัท บริษัทใหญ่ บริษัทย่อย บริษัทร่วม บริษัทในเครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกัน และ/หรือพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท รวมทั้งบุคคลภายนอกที่มีสัญญาให้บริการแก่บริษัทเกี่ยวกับการเก็บ รวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลข้างต้นและคู่สัญญาอื่น ๆ ที่กระทำในนามบริษัทจะเป็นผู้ได้รับและเก็บ รวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทเหล่านั้นเท่าที่จำเป็น เพื่อประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อการให้บริการแก่ท่านและเพื่อปกป้องส่วนได้เสียของบริษัทเท่านั้น และตกลงที่ จะป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากการใช้ การเข้าถึงหรือการเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาต ท่านอาจติดต่อ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามรายละเอียดที่กำหนดในข้อ 11. เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประเภทของผู้ให้บริการที่บริษัทจะมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ทราบ บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลการ ติดต่อของท่านในสมุดรายชื่อเจ้าหน้าที่ให้แก่พนักงานของบริษัทและบุคคลทั่วไป อย่างไรก็ตาม ท่านมีสิทธิขอให้ลบ ข้อมูลของท่านออกจากบริษัท ภายใต้หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ระยะเวลาที่บริษัทกำหนด
บริษัทอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน แก่บริษัทอื่นใดหรือหน่วยงานใด ๆ เช่น หน่วยงานราชการ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลการให้บริการ หรือหน่วยงานกำกับดูแลบริษัท หรือหน่วยงานที่บริษัทเป็นสมาชิก หน่วยงานราชการที่ควบคุมในเรื่องการตรวจคนเข้าเมือง ภาษี ความมั่นคงของชาติและอาชญากรรม ตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อดำเนินกิจการของบริษัท หรือการดำเนินกิจกรรมร่วมกัน การเดินทาง การจัดงาน ร่วมกัน และการวิจัย
นอกจากนี้ ท่านตกลงยินยอมให้บริษัทเปิดเผยหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บริษัทใหญ่ บริษัท ย่อย บริษัทร่วม บริษัทในเครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกัน หรือพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทเพื่อวัตถุประสงค์ ในการดำเนินการกิจการของบริษัท เพื่อการปฏิบัติตามนโยบายของบริษัท เพื่อปฏิบัติตามสัญญาหรือให้บริการ ระหว่างบริษัทกับท่าน เพื่อปกป้องประโยชน์ได้เสียหรือสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท เพื่อประโยชน์ สาธารณะ หรือประกาศที่บริษัทจะกำหนดเป็นกรณี ๆ ไป
บริษัทขอเรียนให้ท่านทราบว่า เว็บไซต์ของบริษัทจะมีการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ของบุคคลที่สามซึ่ง เว็บไซต์เหล่านั้นอาจมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่แตกต่างจากของบริษัท ท่านจึงควรศึกษานโยบายความเป็น ส่วนตัวของเว็บไซต์นั้น ๆ เพื่อเข้าใจถึงรายละเอียดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเพื่อตัดสินใจในการเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลให้กับเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ทั้งนี้ บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหาย อย่างใด ๆ อันเกิดจากการกระทำของเว็บไซต์ของบุคคลที่สามทุกกรณี
6. การโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศ
บริษัทอาจโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการของบริษัท เท่าที่จำเป็น ทั้งนี้ ท่านตกลงและยินยอมให้บริษัทส่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านออกนอกประเทศไทยไปยังบุคคล หรือหน่วยงานที่อยู่ในประเทศอื่น หรือภายใต้เขตอำนาจกฎหมายของประเทศอื่น ไม่ว่ากฎหมายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคลในประเทศนั้นอาจถึงเกณฑ์หรือไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของ ประเทศไทย ทั้งนี้ บริษัทจะปฏิบัติตามขั้นตอนที่เหมาะสมในการคุ้มครองรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วน บุคคลของท่านในระดับเดียวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย
7. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยและความลับของข้อมูลส่วนบุคคล
เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการของบริษัท เพื่อการป้องกันความเสี่ยงอันอาจทำให้ข้อมูลส่วน บุคคลถูกเข้าถึงโดยมิชอบ รั่วไหล ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข สูญหาย บริษัทได้จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคง ปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสมตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด บริษัทถือปฏิบัติตามนโยบายความ มั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security Policy) รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการรักษาความ ปลอดภัยสารสนเทศที่เป็นที่ยอมรับ และการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ
บริษัทมีมาตรการปกป้องความเป็นส่วนตัวของท่าน โดยการจำกัดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน จะกำหนดให้เฉพาะบุคคลที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวในการนำเสนอสินค้าและ/หรือบริการของบริษัท เพื่อการให้บริการของบริษัท และ/หรือเพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดในข้อ 4. ข้างต้น เช่น พนักงานบริษัท ซึ่งเป็น บุคคลที่บริษัทอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลนั้น จะต้องยึดมั่นและปฏิบัติตามมาตรการการปกป้องข้อมูลส่วน บุคคลของบริษัท อย่างเคร่งครัด ตลอดจนการรักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว โดยบริษัทมีมาตรการ ป้องกันทั้งทางกายภาพและทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามมาตรฐานการกำกับดูแลที่บังคับใช้เพื่อปกป้องข้อมูลส่วน บุคคล
เมื่อบริษัททำสัญญา หรือ ข้อตกลงกับบุคคลที่สาม บริษัทจะกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยของ ข้อมูลส่วนบุคคล การรักษาข้อมูลที่เป็นความลับที่เหมาะสม เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลส่วน บุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม
8. ระยะเวลาการเก็บข้อมูล
บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามความจำเป็นและภายใต้กรอบระยะเวลาที่กฎหมาย กำหนด ท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลาที่บริษัทเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยติดต่อ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทตามรายละเอียดที่กำหนดในข้อ 11.
9. สิทธิของท่าน
ในเวลาใดก็ตาม ท่านมีสิทธิดังต่อไปนี้เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
- สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทมีรวมทั้งสิทธิในการขอให้แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วน
- สิทธิในการขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ท่านอาจส่งให้บุคคลภายนอกหรือ ขอให้บริษัทส่งโดยตรง
- สิทธิที่จะคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดและ วัตถุประสงค์อื่นใดตามที่กฎหมายกำหนด
- สิทธิที่จะขอให้ลบข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเมื่อไม่มีความจำเป็น สำหรับวัตถุประสงค์ที่มีการจัดเก็บ รวมทั้งสิทธิที่จะจำกัด ขอบเขตการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีที่ไม่สามารถให้ลบได้
- สิทธิขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้
- สิทธิร้องขอให้บริษัทดำเนินการให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิด ความเข้าใจผิด
- สิทธิที่จะร้องเรียนกับหน่วยงานที่ควบคุมในกรณีที่ท่านเชื่อว่ามีการละเมิดสิทธิท่าน
ทั้งนี้ การใช้สิทธิของท่านจะต้องอยู่ภายข้อกำหนด ประกาศ ระเบียบที่บริษัทกำหนด ซึ่งจะเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท และ หลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่บริษัทกำหนด โดยในการใช้สิทธิข้างต้น ท่านจะต้องส่งคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรมายัง เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทตามรายละเอียดที่กำหนดในข้อ 11. ของประกาศฉบับนี้ และการ พิจารณาคำร้องดังกล่าวเป็นดุลยพินิจของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว คำวินิจฉัยของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคำร้องขอใช้ สิทธิของท่านถือเป็นที่สุด
ทั้งนี้ ในกรณีที่ท่านขอให้บริษัท ลบ ทำลาย จำกัดการเก็บรวบรวม ใช้ ประมวลผลหรือเปิดเผยข้อมูลส่วน บุคคล ระงับการใช้ชั่วคราว แปลงข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ หรือถอนความยินยอม อาจทำให้เกิด ข้อจำกัดกับบริษัทในการทำธุรกรรมหรือให้บริการแก่ท่านได้
10. การเพิกถอนความยินยอม
หากท่านไม่ประสงค์ให้บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ ประมวลผล หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอีกต่อไป ท่านสามารถเพิกถอนความยินยอมได้โดยการทำคำร้องแจ้งมายังเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท
ทั้งนี้ การเพิกถอนความยินยอมข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ข้อกำหนด ประกาศ หรือระเบียบที่กำหนดในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่บริษัทกำหนด
อนึ่ง การถอนความยินยอม อาจทำให้เกิดข้อจำกัดกับบริษัทในการทำธุรกรรมหรือให้บริการแก่ท่านได้
11. เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หากท่านประสงค์จะใช้สิทธิตามที่กำหนดในข้อ 9. หรือต้องการเพิกถอนความยินยอมในข้อ 10. หรือมีข้อ สงสัยเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามรายละเอียดด้านล่างนี้
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่อยู่ : บริษัท ไทยไอเด็นติตี้ส์ จำกัด 1768 อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ ชั้น 14 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวง บางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
หมายเลขโทรศัพท์ : 02 026 2041
อีเมลแอดเดรส : oneid@inet.co.th
เว็บไซต์ : https://id.one.th
12. กรณีลูกค้าหรือผู้ใช้บริการเป็นบุคคลธรรมดาที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
กรณีที่ท่านเป็นบุคคลธรรมดาและมีอายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย ท่านยืนยันว่า ท่านมีอายุเกินกว่า 15 ปี และสามารถทำนิติกรรมและการใด ๆ ซึ่งต้องทำเองเป็นการเฉพาะตัว หรือ เป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนด้วยตนเองได้โดยมีผลผูกพันตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการซื้อสินค้า หรือใช้บริการใด ๆ จากบริษัท บริษัทใหญ่ บริษัทย่อย บริษัทร่วม บริษัทในเครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกัน และการรับทราบและยอมรับที่จะปฏิบัติตามนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้
กรณีที่ท่านเป็นบุคคลธรรมดาที่มีอายุไม่เกิน 15 ปี ท่านยืนยันว่าท่านได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมายในการซื้อขายสินค้า หรือใช้บริการใด ๆ จากบริษัท บริษัทใหญ่ บริษัทย่อย บริษัทร่วม บริษัทในเครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกัน โดยท่านและผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมายของท่านรับทราบและ ยอมรับที่จะปฏิบัติตามนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ และยินดีส่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้แก่บริษัท ตามที่บริษัทร้องขอ
13. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง
บริษัทขอสงวนสิทธิในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามที่เห็นสมควร รวมถึงในกรณีที่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย นโยบายของรัฐบาล กฎ ประกาศ ระเบียบ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ บริษัทจะประกาศในเว็บไซต์ของบริษัทที่ https://id.one.th ซึ่งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะมีผลทันทีเมื่อมีการประกาศลงในเว็บไซต์ และท่านรับทราบและยินยอมปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วน บุคคลฉบับแก้ไขทุกประการ ท่านควรตรวจสอบและอ่านรายละเอียดของนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ บริษัทประกาศในเว็บไซต์เป็นประจำ
ทั้งนี้ ให้ยกเลิกประกาศที่ 1/2563 และให้ประกาศฉบับนี้มีผลนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง